วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

อาหารว่างเพื่อสุขภาพ...

โดย : http://variety.teenee.com/
อาหารว่างในบ้านเรามีให้เลือกทานกันมากมาย แถมยังหาทานได้ง่าย แต่สังเกตให้ดีก็ จะพบว่า อาหารว่างที่เข้ามามีบทบาทในบ้านเรา ล้วนมีอิทธิพลมาจากประเทศพัฒนาแล้วแทบทั้งสิ้น...
แน่นอนว่าเมื่ออาหารเหล่านี้เข้ามา ย่อมจะต้องมีกระแสต่างๆ ที่ทำให้คนทานนั้นพูดถึง เช่น อาหารว่างที่เป็น Junk Food ซึ่งพบได้บ่อยตามท้องตลาดนั้น ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

คำว่า Junk Food คนส่วนใหญ่มักคิดว่า เป็นอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเอาเสียเลย แต่ความจริงอาหารว่างที่ทานนั้นมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่คิดเสมอไป

เพราะการเลือกทานอาหารว่างในแต่ละครั้ง ก่อนทานเราเองก็คงจะเลือกทานของที่มีแต่ประโยชน์ และเลือกทานในปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกายเท่านั้น

ฉะนั้นมาดูกันว่า อาหารว่าง Junk Food ที่กล่าวมาข้างต้น มีอะไรบ้าง และมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร ดังนี้

1. Popcorn
แนะนำว่าอย่าเลือกรับประทาน Popcorn แบบสำเร็จรูปที่สามารถทำเองในตู้ไมโครเวฟ เพราะไขมันที่ ได้รับนั้นจะสูงมาก ทางที่ดีการทำ Popcorn ให้เลือกใช้เนยเทียม เช่น มาร์การีน เพียงเล็กน้อย

2. Fruit and fruit smoothies
แนะนำให้เลือกทานผลไม้ที่มีน้ำตาลไม่สูงมาก หรือจะเลือกทาน fruit smoothies ถ้าต้องการ ความรวดเร็วแล้วสะดวก

3. Ice cream
ไม่แนะนำให้เป็นอาหารว่างประจำทุกวัน เพราะค่อนข้างจะทำให้เกิดโรคอ้วนได้ และถ้าอยากทานจริงๆ ให้เลือกทานรสวานิลา ซึ่งถือว่าเป็นรสชาติพื้นฐาน

4. Cookies
ให้เลือกทานคุกกี้แบบ fat-free และไม่แนะนำว่าให้ทานเป็นอาหารว่างประจำเช่นเดียวกัน

5. Cheese and crackers
แนะนำให้เลือกชีสแบบ low fat และให้โปรตีนสูง แต่ถ้าจะทานคู่กับแครกเกอร์ ให้เลือกที่ทำจาก เมล็ดธัญพืชที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่ง

6. Cereals
เลือกที่มีไฟเบอร์สูง และมีปริมาณน้ำตาลต่ำ ธัญพืชที่ดี คือ ข้าวโอ๊ตบดหยาบ

7. Yogurt
ถ้าเป็นคนไม่ชอบดื่มนม แนะนำให้ทานโยเกิร์ตที่เป็นรสธรรมชาติไม่มีการปรุงแต่ง และที่สำคัญไม่ควร เลือกที่มีน้ำตาลสูง ถ้าจะเพิ่มรสชาติให้เติมผลไม้สดลงไป

8. Vegetables
แนะนำให้เลือกผักที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผักใบสีเขียว เป็นต้น

9. Peanut butter
ถ้าจะรับประทานให้ทานเพียงแค่หนึ่งช้อนโต๊ะเท่านั้น เพิ่มรสชาติด้วยการทาลงบนแครกเกอร์แบบ ธรรมชาติหรือจะขนมปังซีเรียล

10. Cake
ไม่แนะนำให้ทานเป็นอาหารว่างประจำวัน ถ้าอยากทานให้เลือกทานที่เป็นเค้กชนิด low fat หรือจะ เป็นเค้กประเภทโยเกิร์ตผลไม้ก็เข้าที

เพียงแค่นี้ก็ทำให้รู้ว่าการเลือกทานอาหารว่าง ก็เป็นสิ่งจำเป็นต่อเรา เพราะทำให้สามารถทานอาหารว่างได้อย่างสบายใจโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับสุขภาพ
จาก : http://variety.teenee.com/science/7438.html

โรคอ้วนภัยร้ายที่มากับอาหารทำลายเด็กไทย....

โดย : นายพิทักษ์ ชนะวงศากุล
ปัจจุบันเด็กไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เด็กจะรับประทานอาหารมากเกินไป จนทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจนกลายเป็น “โรคอ้วน” ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดการดูแลที่ดีจากพ่อแม่ หรือความเข้าใจผิด...
คนส่วนใหญ่จะมองว่า เด็กอ้วน คือ เด็กที่มีสุขภาพดี และอนาคตเด็กอ้วนเหล่านี้จะมีปัญหาสุขภาพอันได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ โรคกลุ่ม อาการที่ดื้อต่อสารอินซูลิน นอนกรน หยุดหายใจขณะนอนหลับ นอกจากโรคทางกายแล้ว โรคอ้วนยังนำไปสู่โรคทางจิตใจด้วย เช่น ไม่ค่อยคบเพื่อน เกิดโรคซึมเศร้า และในรายที่รุนแรงมากอาจถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย

กอง โภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการได้รับอาหารมากเกิน ไป ทำให้มีน้ำหนักมากไม่เหมาะสมกับส่วนสูง ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพ เป็นโรคเรื้อรังต่างๆในเด็ก และลดน้ำหนักได้ยากมากยิ่งขึ้นเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน โรคเรื้อรังดังกล่าวจะมีความรุนแรงมากขึ้นและเสียชีวิตได้ง่าย

แนวทางแก้ไขเด็กที่มีภาวะโภชนาการเกิน (เริ่มอ้วน/อ้วน) ติดตามการชั่งน้ำหนักทุกเดือนและวัดส่วนสูงทุก 6 เดือน แนะนำการให้อาหารครบทุกกลุ่มได้แก่ เนื้อสัตว์/ไข่/นม ข้าว-แป้ง ผัก ผลไม้ และน้ำมัน ในปริมาณที่เหมาะสมและควรกินให้หลากหลาย ลดอาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่ อาหารประเภทข้าว-แป้ง ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ขนมปัง เผือก มัน เป็นต้น และอาหารไขมัน เช่น น้ำมัน กะทิ ควรหลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยวิธีการทอด ผัด แกงกะทิหรือขนมใส่กะทิ งดกินจุกจิก เช่น ขนม น้ำหวาน น้ำอัดลม ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 20 นาที และเครื่องไหวร่างกายเป็นประจำ เช่น เล่นกีฬา วิ่งเล่น เดินขึ้น-ลงบันได

ขณะเดียวกันแพทย์ไทยศาสตราจารย์กิตติคุณนายแพทย์จุล ทิสยากร มูลนิธิเด็กโรคหัวใจได้เผยเกี่ยวกับโรคอ้วนในเด็กว่า เมื่อ 40 ปีก่อน แพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยเด็กของประเทศไทยพบกับปัญหาโรคขาดอาหารในเด็กเป็นจำนวนมาก และโรคขาดอาหารในเด็กได้ค่อยๆหมดไป

แต่ ที่กำลังกลายเป็นปัญหากับสังคมไทยแทนก็คือโรคอ้วนในเด็กอาจเป็นเพราะเด็กรับ ประทานอาหารมากเกินไปจนน้ำหนักตัวมากจนอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าเป็นโรคอ้วน ซึ่งในปัจจุบันพบได้ประมาณร้อยละ 10 ของเด็กในกรุงเทพมหานคร

การป้องกันโรคอ้วนต้องเป็นการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและเข้มงวดตั้งแต่แรกคลอด โดย ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ซึ่งทำให้เด็กมีโอกาสอ้วนน้อยกว่าเด็กที่ เลี้ยงด้วยนมวัว ในเด็กที่โตขึ้นครอบครัวมีหน้าที่จัดการและให้ความรู้เรื่องอาหารกับการออก กำลังกาย

หลักเกณฑ์ที่สำคัญเพื่อการควบคุมน้ำหนักอย่างได้ผล คือ ประการแรก ตั้งเป้าและจัดรายการเฉพาะสำหรับเด็กแต่ละคนโดยพิจารณาจากอายุ ความรุนแรงของน้ำหนักที่มากเกินไป และโรคที่มีร่วมด้วยแล้ว ประการที่สอง ครอบครัวต้องร่วมด้วยในภาคปฏิบัติ ประการที่สาม มีการประเมินผลบ่อยๆ ประการที่สี่ ต้องคำนึงถึงความประพฤติ สังคม และจิตใจของเด็กด้วย ประการสุดท้าย ให้คำแนะนำในการเปลี่ยนแปลงอาหารและการออกกำลังกายที่เด็กและครอบครัว นำไปปฏิบัติได้จริงๆ ซึ่งน้ำหนักตัวของแต่ละคนคือ Body Mass Index (BMI) ซึ่งคำนวณได้จากสูตรซึ่งใช้ได้ทั้งเพศหญิงและชาย

โดยการหาค่า BMI = น้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) / ความสูง (หน่วยเป็นเมตร) ยกกำลังสอง

การแปลผล BMI ที่คำนวณได้

ค่า BMI (กก/ม2) การแปลผล

20-25 ดีที่สุด

25-30 น้ำหนักเกิน

30-34 อ้วน

35-44 อ้วนจนต้องระวังสุขภาพ

45-49 อ้วนจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

มากกว่า 50 ซุปเปอร์อ้วน (อันตรายมาก)

(ค่าปกติของ BMI ในเด็กที่อายุมากกว่า 9 ปี)

เด็กชาย = อายุ (หน่วยเป็นปี) + 13

เด็กหญิง = อายุ (หน่วยเป็นปี) + 14)

จะ เห็นได้ว่า ความสำเร็จในการควบคุมน้ำหนักขึ้นกับความร่วมมือของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ที่ต้องยอมรับการจัดกิจกรรมร่วมกัน เช่น การเล่นกีฬา และการเปลี่ยนแปลงชนิดอาหารและวิธีการเตรียม เด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปี ไม่ควรใช้ยาเพื่อการควบคุมน้ำหนัก ส่วน วิธีการผ่าตัดต่างๆเพื่อลดน้ำหนักจะพิจารณาใช้เฉพาะกับเด็กที่เจริญเติบโต เข้าสู่วัยหนุ่มสาวแล้วเท่านั้น และจะต้องเป็นโรคอ้วนที่อ้วนจนมีปัญหาต่อสุขภาพแล้วเพราะมีโรคแทรกซ้อนหรือ น้ำหนักมากถึงขั้นซุปเปอร์อ้วน

โดย : นายพิทักษ์ ชนะวงศากุล

ภัยจากอาหาร..ล้างพิษกันบ้างเป็นไร

โดย : อณู
คุณเคยบ้างไหม...รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นระยะเวลายาวนานจนรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไม ตัวฉันถึงไร้พลังกายพลังใจขนาดนี้ แล้วยังไม่สามารถรวบรวมสมาธิทำงานได้นานๆ ซึมเศร้าขาดชีวิตชีวา มีปัญหาผิวหนัง ปวดหัว หรือเป็นไข้บ่อยๆ ...
อาจเป็นไปได้ว่าร่างกายของคุณกำลังทุกข์ระทมเพราะสะสมพิษไว้ในตัวมากเกินไปแล้ว ใครไม่มีพิษสะสมไว้คงไม่ใช่คนร่วมสมัย เพราะทุกวันนี้การใช้ชีวิตของเรา

อากาศที่เราหายใจ หรืออาหารที่เรากินเข้าไป ล้วนแล้วแต่เป็นตัวการสำคัญในการสะสมทั้งนั้น ซึ่งเราจะต่อต้านมันได้ด้วยการขจัดพิษเพื่อให้ร่างกายสะอาด สดชื่น มีพลังเพิ่มขึ้นและช่วยให้ระบบอิมมูนซิสเต็ม ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองร่างกายเราได้เต็มประสิทธิภาพ

ถ้าระบบการดูแลและขจัดพิษและของเสียออกจากร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ของเสียที่ยังตกค้าจะไหลเวียนกลับไปในกระแสเลือด ทั่วร่างกาย แล้วก่อตัวอยู่บริเวณอวัยวะที่อ่อนแอที่สุด

เราจะสังเกตอาการต่างๆว่ามีพิษไปสะสมอยู่แถวไหนบ้าง ถ้าเป็นบริเวณลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก มักจะท้องผูก ท้องอืด ท้องเสีย บ่อยๆ ซึ่งเป็นเพราะเรากินอาหารที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ ไม่ถูกส่วน มีความเครียด ใช้ยาพวกแอนตี้ไบโอติกบ่อย จิบน้ำสีอำพันเป็นประจำ หรือดื่มน้ำน้อยไป อาหารที่จะช่วยได้ คือผักใบเขียวที่มีคลอโรฟีลล์มากๆ หรือนมเปรี้ยวที่มีแล็กโตบาซิลลัส

ถ้ามีปัญหาผิวหนังต่างๆ เป็นผื่นแพ้บ่อยๆ ลิ้นขม ปวดศีรษะ อารมณ์ขึ้นๆลงๆ เหนื่อยล้า นั่นแสดงว่าตับกับไตทำงานหนักเกินไปแล้ว เพราะกรองของเสียเก็บไว้เยอะ องุ่นจะช่วยทำความสะอาดตับไตและผิวหนังได้

พิษที่สะสมในระบบทางเดินหายใจ จะทำให้เป็นหวัดบ่อยๆ ไอ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ มีเซลลูไลท์ ขาดน้ำ มีปัญหาเรื่องผิวหนัง กระเทียม และวิตามินซีจะช่วยดูแลระบบทางเดินหายใจของเรา

ขจัดพิษกันเถอะ

การล้างพิษในร่างกาย มีวิธีการต่างๆ เช่นสวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟ หรือการอดอาหาร และการเลือกกินอาหาร รวมทั้งการปฏิบัติตัวเพื่อการล้างพิษ

คุณกิตติกูล เสารัมณี ผู้ประสบกับโรคมะเร็งตับที่ศึกษาค้นคว้าด้าน แม็กโครไบโอติก มีประสบการณ์ในการล้างพิษภายในร่างกายหลายขนานมาแล้ว พูดถึงการล้างพิษว่า

"สำหรับคนที่เป็นโรคอย่างผม ผมอดอาหาร หรือดื่มน้ำผัก น้ำผลไม้ 2-3 วัน เช่นดื่มน้ำอ้อยผสมน้ำมะนาว หรือสวนด้วยกาแฟ คนทั่วๆไปไม่จำเป็นต้องดีทอกซ์ (detox) แบบสวนกาแฟที่กำลังแพร่หลายกัน เพราะบางคนอาจแพ้กาแฟ หรือไม่มีความรู้จริงเรื่องการทำ การดูแลความสะอาด ปริมาณของกาแฟที่ใช้หรือถ้าน้ำกาแฟไม่อยู่ในลำไส้

นานถึง 10 นาที ก็เท่ากับเป็นการสวนอุจจาระเฉยๆ ต้องคำนึงถึงรายละเอียดพอสมควรและลำไส้บางคนอาจเป็นแผล คนที่จะทำได้ต้องไม่มีโรคหัวใจ ความดันโลหิต หรือไต

"ผมขอแนะนำว่า กินอาหารที่มีประโยชน์ เช่นข้าวกล้อง ข้าวมันปู ธัญพืช ผัก เต้าหู้ 10 วัน พยายามลดเนื้อสัตว์ นม ไข่ กะทิ ของหวาน ร่างกายเราจะได้อาหารที่บริสุทธิ์ไปสร้างเม็ดเลือดที่บริสุทธิ์ 10 วันที่ถ่ายออกไปก็เท่ากับขับพิษหรือของเสียออกไป"

เราขอแนะนำวิธีง่ายๆในการลงมือทำในเวลา 1 เดือน ซึ่งไม่ใช่หลักสูตรเคร่งครัดมากจนยากเกินจะลองทำ เพื่อเรียกสุขภาพดีๆและพลังกลับคืนมา ค่อยเป็นค่อยไปในวันแรกๆ ไม่ต้องทำเต็มสูตร เพื่อค่อยๆปรับตัวและปรับใจก่อน โดยเริ่มจาก...

เลือกอาหารธรรมชาติ

เลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการมากๆ เนื้อสัตว์สีแดง เหล้าเบียร์ ผลิตภัณฑ์จากนม น้ำตาล น้ำผึ้ง ชา กาแฟ อาหารกระป๋อง ที่แพ็กมาเป็นห่อๆ ฟาสต์ฟู้ด หรือวางอยู่บนชั้นนานแล้ว พวกซอสมะเขือเทศ มายองเนส ลดอาหารพวกไข่ ไก่ ผลไม้ น้ำสลัด และน้ำส้มสายชู ข้าวขัดขาว

กินผักดิบสดๆดีกว่า เพราะจะช่วยให้เซลล์ต่างๆทำงานได้ดี โดยเฉพาะผักที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น แคร็อต มะเขือเทศ บีทรูท รวมทั้งผักใบเขียวต่างๆ กินเต้าหู้และนมถั่วเหลือง ปรุงรสชาติและกลิ่นอาหารด้วยกระเทียม ขิง สมุนไพรต่างๆ หันมากินเนื้อปลา โดยเฉพาะพวกปลาน้ำลึก ข้าวหรือพวกแป้งไม่ขัดขาว เช่นข้าวกล้อง ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี มันฝรั่ง ลูกเดือย เปลี่ยนเมนูให้หลากหลายเพื่อจะได้ไม่ต้องกินอาหารเดิมๆอยู่ทุกวี่วัน ถ้านึกอยากกินสลัดผักสักจาน ทำเองที่บ้านน่าจะดีกว่า เพราะเราเลือกได้ว่าจะซื้อผักปลอดสารพิษมาทำ ล้างสะอาดแค่ไหนก็รู้ด้วยตัวเอง

เพิ่มน้ำ

ร่างกายต้องการน้ำด้วย อย่าลืม ถ้ามีน้ำน้อยเกินไป ก็จะไปขอน้ำจากลำไส้มาใช้ ซึ่งทำให้ของเสียที่อยู่ในล้ำไส้แห้งลงไป กระบวนการขับถ่ายออกจากร่างกายช้าลงสารพิษก็จะถูกดูดซึมกลับสู่ร่างกายอีก

กระตุ้นระบบทางเดินอาหาร ด้วยการเริ่มจากน้ำอุ่นๆในตอนเช้า อาจจะเป็นน้ำผลไม้เช่นน้ำมะนาว ช่วงกลางวันดื่มน้ำอุณหภูมิปกติให้ได้ 6-8 แก้ว เปลี่ยนจากชากาแฟ เป็นชาสมุนไพรแทน

ทำน้ำผักน้ำผลไม้ดื่มเอง น้ำมะเขือเทศมีวิตามินซีสูง น้ำบีทรูท แคร็อต และเซเลอรี่ เป็นน้ำผักที่บำรุงตับ ถ้ารสชาติไม่เอาไหนเติมน้ำสับปะรด หรือน้ำผลไม้อื่นๆเพื่อปรุงรสสักนิด ไม่ควรเติมน้ำผลไม้รสหวานมากไป หรือดื่มน้ำผลไม้มากกว่าวันละ 1 แก้ว เพราะว่ามีน้ำตาลผสมอยู่เยอะ ดื่มน้อยๆ ดีกว่า

ออกกำลังกายบ้าง

การได้เคลื่อนไหวร่างกาย เท่ากับช่วยการไหลเวียนของเลือดให้เลือดขนส่งออกซิเจนและสารอาหารที่มีคุณค่าได้ดีขึ้น และการทำงานของระบบหายใจก็จะดีขึ้นด้วย

เลือกเดินหรือจ๊อกกิ้ง ขี่จักรยาน แอโรบิก โยคะ ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงหรือ 45 นาทีต่อวัน อาทิตย์ละ 3-5 วัน

หัดหายใจ

เชื่อไหมว่าเรายังหายใจกันไม่ค่อยถูกต้อง หัดหายใจใหม่ ถ้ายังหายใจตื้นๆ สั้นๆ อยู่ พยายามหายใจให้ยาวขึ้น และหายใจช้าๆ นับ 1 ถึง 4 ในการหายใจเข้าออก 1 ครั้ง การหายใจเข้าลึกๆทำให้เราสูดเอาออกซิเจนเข้าไปได้เต็มที่ และหายใจออกยาวๆ ก็จะช่วยการขับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้น

ขัดผิวผ่อง

การขัดผิวนอกจากเพื่อบำรุงบำเรอความงามแล้ว ยังช่วยปรับการไหลเวียนและช่วยยักย้ายถ่ายเทพิษที่สะสมไว้ในเนื้อเยื่อ สู่กระแสเลือด เพื่อขับถ่ายออกไป ใช้แปรงด้ามยาวที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ ขัดผิวสัก 5 นาทีก่อนอาบน้ำ หรือนานกว่านั้นเล็กน้อยก็ได้

เริ่มจากการขัดเท้า น่อง ไปสู่ต้นขา ขัดเหนือสะโพก และขึ้นไปกลางหลัง ไล่ไปที่ต้นแขน ไปที่ไหล่ ลงไปที่อก ตรงไปสู่หัวใจ และขัดจากหลังคอลงมา สุดท้ายก็ขัดวนเป็นวงตามเข็มนาฬิกาแถวๆท้อง เพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้

ล้างใจให้สะอาด

แม้จะไม่เคยมีใจเป็นแม่พระมาก่อน ก็ต้องลองดูละ เพราะอารมณ์ที่ไม่เบิกบาน ความโกรธ เสียใจ เครียด เศร้าซึม จะทำให้ร่างกายเราหลั่งสารที่มาทำร้ายตัวเราเองมากเกินไป ในระหว่างกระบวนการขจัดพิษ พยายามละลายอารมณ์เสียๆเหล่านี้ทิ้งไป แล้ว

เปลี่ยนวิธีคิดสร้างสิ่งดีๆให้เกิดกับจิตใจ เช่นหัดช่วยเหลือคนอื่น ให้อภัย ยอมแพ้ ลองมองโลกในแง่ดี อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก่อนนอนทำใจให้สบายหรือนั่งทำสมาธิ ไม่เก็บเรื่องรกใจไปนอนด้วย ถ้าหัดล้างใจไว้จะช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น ใจไม่ต้องแบกภาระที่หนักอึ้งเกินไป ปล่อยวางบ้าง ให้คนอื่นเขาไปแบกบ้าง จิตใจจะได้เบาสบาย หายใจลึกๆ จังหวะยาวๆ คิดถึงสิ่งดีๆของตัวเอง ตื่นเช้ากว่าเดิมสักครึ่งชั่วโมง ในวันที่ไม่เร่งรีบ หามุมสงบๆที่สามารถอยู่นิ่งๆสบายๆ ทอดสายตามองทัศนียภาพอันน่ารื่นรมย์สักวันละ 15 นาที

อาการระหว่างล้างพิษ

อย่าตกใจ ถ้ามีอาการเหล่านี้ เช่น ปวดศีรษะ มีเม็ดสิวขึ้น มีผื่นที่ผิวหนัง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ หงุดหงิด อ่อนเพลีย อารมณ์แปรปรวน เหนื่อยล้า ท้องอืด กลิ่นตัวและลมหายใจไม่สะอาด อาการเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะร่างกายกำลังกำจัดของเสียต่างๆออกไป อยู่ปกติแล้วอาการจะเป็นราวๆ 3 สัปดาห์แล้วค่อยๆหายไป เหนื่อยอ่อนล้าเพราะทำงานหนัก หรือกำลังอยู่ในช่วงเครียดจัดเกินไป ไม่สบาย เพิ่งหายไข้หายหวัด หรือมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับตับ ไต โรคเบาหวาน ตั้งครรภ์หรืออยู่ในระหว่างการให้นม หรืออยู่ในระหว่างการกินยารักษาโรคอยู่
ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน

ข้อควรระวัง

* ถ้าใช้ช่วงเวลาในการขจัดพิษนานเกินไป ก็จะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

* การดื่มน้ำผักน้ำผลไม้ปริมาณมากๆ อาจจะทำให้ถ่ายท้องมากเกินไป

* ถ้าร่างกายได้รับวิตามินซีมากเกินไป จะไปทำร้ายไตได้ นอกจากนี้ยังไปช่วย
กระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้นไปอีก

* อย่าวิตกกังวลเกินเหตุว่า ร่างกายเราได้รับพิษอันมหาศาล หรือเคร่งเครียด เอาเป็นเอาตายกับการขจัดพิษมากเกินไป เพราะแทนที่ผลออกมาจะสบาย กลับให้ผลตรงกันข้าม ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนซีเรียส ท่องไว้เบาๆว่า..."อย่าซีเรียส" ถ้าสามารถจัดสรรเวลาให้ตัวเองอยู่ในกระบวนการขจัดพิษใน 1 เดือน แล้ว จะรู้สึกว่าร่างกายสดชื่นขึ้น ผิวหนังสะอาดขึ้น ดวงตาสดใส ท้องผูกน้อยลง น้ำหนักลด อารมณ์มั่นคงขึ้น และลดระดับความวิตกกังวลไปได้ดีเชียวค่ะ ลองดู...
จาก : นิตยสาร Life & Family

ภาวะอาหารเป็นพิษ

โดย : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริภาวะอาหารเป็นพิษ (food poisoning) เป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป ซึ่งมักพบในอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ จากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อเช่น

imageภาวะอาหารเป็นพิษ (food poisoning) เป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป ซึ่งมักพบในอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ จากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อเช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว และไข่เป็ด ไข่ไก่ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล และน้ำนมที่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ นอกจากนี้อาจพบในอาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านานๆ แล้วไม่ได้แช่เย็นไว้ ถ้าไม่ได้อุ่นให้ร้อนพอก่อนรับประทาน ก็จะทำให้เป็นโรคนี้ได้
สาเหตุของอาหารเป็นพิษมีมากมาย และอาการของอาหารเป็นพิษก็มีหลากหลายตามไปด้วย อาจแบ่งชนิดของอาหารเป็นพิษได้หลายแบบ แบ่งตามชนิดของเชื้อที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษก็ได้ แบ่งตามสารพิษหรือพิษในอาหารก็ได้ หรือแบ่งตามอาการเจ็บป่วยก็ได้
สาเหตุ
  1. เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ ซาลโมเนลลา (salmonella) เป็นตระกูลเดียวกับเชื้อที่ทำให้เกิดไข้ไทฟอยด์ พบในผลิตภัณฑ์เนื้อเป็ดเนื้อไก่ รวมทั้งไข่เป็ดไข่ไก่ โดยส่วนใหญ่จะพบในไข่ที่ปรุงไม่สุก หรือเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก หรือน้ำส้มคั้นที่ใส่ขวดเอาไว้ โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ อาการเกิดขึ้นหลังจากกินพิษของเชื้อซึ่งปนอยู่ในอาหารเข้าไป 8-48 ชั่วโมง อาการมักจะรุนแรง อาจมีไข้ ปวดบิดในท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน และถ่ายมีมูกเลือดปนได้ อาการจะค่อย ๆ หายในภายใน 2-5 วัน บางคนอาจเรื้อรังถึง 10-14 วัน
  2. เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มที่เรียกว่า วิบริโอ (vibrio) ซึ่งมีอยู่ 4-5 สายพันธุ์ ที่ทำให้อาหารเป็นพิษระบาดบ่อยที่เรียกว่า อหิวาต์เทียม เชื้อกลุ่มวิบริโอพัฒนาการมาให้อยู่รอดในน้ำทะเลได้ดี การเกิดโรคเกิดจากการกินอาหารทะเลพวกปลา ปู กุ้ง หอย ที่มีเชื้อนี้ปนเปื้อนเข้าไปโดยจำนวนเชื้อต้องมีปริมาณมากพอ จึงจะสามารถทำให้เกิดโรคภาวะอาหารเป็นพิษได้ อาการเจ็บป่วยอาจเกิดอาการทางimageระบบทางเดินอาหาร หรือติดเชื้อเข้ากระแสโลหิตได้ อาการปรากฏ หลังจากรับประทานอาหารที่มีเชื้อประมาณ 2 - 48 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อสภาพความเป็นกรดด่างในระบบทางเดินอาหารของแต่ละบุคคล เมื่อเชื้อเข้าไปถึงลำไส้จะทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว และสร้างสารพิษขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง อาจมีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ บางรายมีอาการคล้ายบิด คือถ่ายอุจจาระมีมูกเลือด อาการมักจะหายไปในเวลา 2 – 5 วัน อัตราการตายต่ำ
  3. เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สแตฟฟิลโลคอคคัสออเรียส (Staphylococcus aureus) เป็นเชื้อแบคทีเรียตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดหนองฝีตามผิวหนัง อาจพบปนเปื้อนอยู่กับอาหาร เช่น พวกสลัด ขนมจีน ลาดหน้า น้ำปลาหวาน ซุป อาหารประเภทเนื้อ นอกจากนี้ยังพบมากในเนื้อสัตว์ แฮม มันฝรั่ง สลัดไข่ แซนด์วิช เชื้อชนิดนี้จะปล่อยพิษออกมาซึ่งไม่ถูกทำลายด้วยความร้อน เมื่อคนเรากินอาหารนี้ 89 ไม่ว่าจะต้มสุกหรือไม่ก็ตาม เข้าไปหลังจากนั้นอีก 2-4 ชั่วโมง ก็เกิดอาการ บางครั้งอาจพบเป็นพร้อม ๆ กันหลายคน เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคนทั่วไป อาการที่พบคือท้องเสีย อาเจียน มักเกิดอาการภายใน 1-6 ชั่วโมง หลังกินอาหาร อาการจะค่อย ๆ หายเอง ภายใน 1-2 วัน
  4. เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ แคมไพโรแบคเตอร์ (campylobacter) มักพบในเนื้อไก่ที่ใช้บริโภค
  5. เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ อีโคไล (E. coli) พบมากในผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ อาการที่พบคือท้องเสีย อาเจียน มักเกิดอาการภายใน 1-4 วันหลังกินอาหาร
  6. เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ ชิเกลลา (shigella) ส่วนใหญ่มักจะมีในผัก ผลไม้ อาการมักจะรุนแรง มีไข้ ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน และถ่ายมีมูกเลือด
  7. เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ คลอสตริเดียม บอทูลินัม (Clostridium botulinum) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบในอาหารกระป๋องและอาหารหมักดอง ส่วนใหญ่จะพบในอาหารกระป๋องที่หมดอายุ หรือในเนยแข็ง น้ำผึ้ง ผักสด เชื้อจะปล่อยพิษออกมา ทำให้เกิดอากการหลังกินพิษเข้าไป 8-36 ชั่วโมง เป็นภาวะที่พบได้ไม่บ่อยนัก ในรายที่รุนแรง อาจเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง
อาการ
ส่วนใหญ่แล้วภาวะอาหารเป็นพิษมักจะไม่มีอาการรุนแรง และอาการจะเป็นไม่นาน ผู้ป่วยอาจมีเพียงอาการท้องเสียเพียงแค่สองสามวัน อาจมีไข้ต่ำๆ หรือบางคนไม่มีไข้เลยก็ได้ อาการปวดท้องมักไม่รุนแรง อาจเพียงรู้สึกปวดมวนท้องบ้างเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากภาวะอาหารเป็นพิษนี้เกิดขึ้นกับกลุ่มที่จัดว่ามีภูมิต้านทานลดน้อยลง เช่น ผู้ป่วยที่เป็นเด็กเล็ก ผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ โรคเบาหวาน หรือโรคเอดส์ การติดเชื้อจะรุนแรงและทำให้ถึงกับเสียชีวิตได้
imageปัญหาที่เกิดจากอาการท้องเสียแบบรุนแรง โดยเฉพาะในเด็กหรือทารกคือ การสูญเสียน้ำมากเกินไป ซึ่งจะสังเกตระดับความรุนแรงของภาวะขาดน้ำได้จากอาการที่ปรากฏ เช่น ถ่ายบ่อยมาก ไม่ยอมหาย ของเหลวที่ออกมาเป็นน้ำเสียส่วนใหญ่ หรือบางทีอาจมีเลือดปนด้วย เป็นต้น
เชื้อโรคบางชนิดทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหารและลำไส้ ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง ซึ่งถ้าถ่ายมากจะเกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่ได้ และบางรายอาจมีอาการรุนแรง เนื่องจากมีการติดเชื้อและเกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ข้อและกระดูก ถุงน้ำดี กล้ามเนื้อหัวใจ ปอด ไต เยื่อหุ้มสมอง และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตจะทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษ โดยเฉพาะเด็กทารก เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ
การวินิจฉัย
สามารถให้การวินิจฉัยได้จากประวัติอาการ การตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมทั้งการตรวจอุจจาระและเพาะเชื้อในอุจจาระ
การรักษา
การดูแลเด็กที่มีอาการของอาหารเป็นพิษควรให้กินยาแก้อาเจียนและดื่มน้ำเกลือแร่ชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่เสียไป ระหว่างนั้นควรสังเกตว่าเด็กมีอาการขาดน้ำหรือไม่ อาการของการขาดน้ำได้แก่ ปากแห้ง กระบอกตาลึก กระหม่อมบุ๋ม ชีพจรเต้นเร็วและปัสสาวะน้อยลง ถ้าเด็กไม่มีการขาดน้ำ อาจดูแลที่บ้านเองได้ แต่ถ้าลูกมีอาการแสดงของการขาดน้ำ ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ ถ้าอาการเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ควรให้เด็กดื่มน้ำเกลือแร่ต่อไป และพยายามให้เด็กดื่มนมทีละน้อยๆ แต่บ่อยๆ เพื่อไม่ให้อาเจียน ควรให้กินอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม จะดีกว่าอาหารแข็งๆ ที่ย่อยยาก
การป้องกัน
  1. ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงอาหาร รับประทานอาหาร หรือก่อนเตรียมนมให้เด็ก และภายหลังจากการเข้าห้องน้ำ หรือห้องส้วมทุกครั้ง
  2. ดื่มน้ำที่สะอาด หรือน้ำต้มสุก และรับประทานอาหารที่สะอาด และสุกใหม่ๆ ไม่ควรรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ หรืออาหารที่มีแมลงวันตอม หากต้องการจะเก็บรักษาอาimageหารที่ปรุงสุกแล้วไว้รับประทานในวันต่อไป ควรใส่ไว้ในภาชนะที่ปิดมิดชิด และเก็บไว้ในตู้เย็น และนำมาอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานทุกครั้ง
  3. สำหรับผู้ประกอบอาหาร และพนักงานเสริฟอาหาร ควรหมั่นล้างมือก่อนจับต้องอาหารทุกครั้ง และดูแลรักษาความสะอาดภายในครัว และอุปกรณ์เครื่องใช้ในการประกอบอาหาร ตลอดจนกำจัดขยะมูลฝอย และเศษอาหารทุกวัน และหากมีอาการอุจจาระร่วง ควรหยุดปฏิบัติงานจนกว่าจะหายหรือตรวจไม่พบเชื้อในอุจจาระ
  4. กำจัดขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูลรอบๆ บริเวณบ้าน และถ่ายอุจจาระในส้วมที่ถูกสุขลักษณะเพื่อมิให้เป็นแหล่งเพาะพันธ์แมลงวัน และป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  5. ผู้ประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โรงงานฆ่าสัตว์ จำหน่ายเนื้อสัตว์ รวมไปถึงร้าน อาหารทุกประเภท ควรดูแลสุขภาพอนามัยของสัตว์เลี้ยงไม่ให้เป็นโรคติดต่อ และหมั่นทำความ สะอาด สถานที่ประกอบการ และกำจัดขยะมูลฝอยบริเวณโดยรอบ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน
  6. สำหรับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง ควรจัดให้มีน้ำดื่มที่สะอาด มีส้วมที่ถูกสุขลักษณะ มีการกำจัดขยะมูลฝอย และน้ำเสียที่เหมาะสมในบริเวณชุมชนก่อสร้าง ตลอดจนมีการให้สุขศึกษาแก่คนงานในการป้องกันโรค
imageที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

เมนูอาหารสำหรับคนเป็นเบาหวาน

โดย : คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลสำหรับผู้ที่ป่วนเป็นเบาหวาน เรื่องอาหารการกินนับเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ที่มีผลกับโรคนี้ ถ้าควบคุมอาหารได้ก็แทบได้ไม่ต้องกินยาเพื่อควบคุมปริมาณน้ำตาล ...
ดังนั้นถ้ารู้จักจัดเมนูที่ให้แคลลอรีเหมาะสมกับลักษณะกิจวัตรประจำวันก็จะช่วยให้รับมือกับโรคนี้ได้ง่ายขึ้น รายการอาหารที่นำมาฝากนี้ ถึงจะเป็นรายการอาหารที่เหมาะสมสำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่มีโรคเบาหวานแทรกซ้อน แต่สามารถนำมาเป็นตัวอย่างให้ลองเลือกใช้ได้ โดยเลือกปริมาณแคลลอรีที่เหมาะสมกับ life style และลักษณะการทำงานของตัวเอง หากที่ทำงานที่เคลื่อนไหวน้อย ออกกำลังไม่มาก ก็ควรจะเลือกเมนูที่ให้แคลลอรีต่ำ นั่นเองค่ะ

ตัวอย่างรายการอาหาร 1,600 กิโลแคลอรี

มื้อเช้า : ข้าวต้มไก่ (ให้พลังงาน 327 กิโลแคลอรี)

ข้าวสุก 1 ½ ทัพพี / เนื้อไก่ 4 ช้อนโต๊ะ / ผักกาดหอม, ผักชี, ต้นหอม, ตั้งฉ่าย ตามต้องการ / น้ำมันกระเทียมเจียว ½ ช้อนชา / ไข่ลวก 1 ฟอง

อาหารว่างมื้อเช้า : มะละกอสุก 8 ชิ้น +น้ำส้มคั้น 1 แก้ว (ให้พลังงาน 180 กิโลแคลอรี)

มื้อกลางวัน : ข้าวสวย 2 ทัพพี + แกงเขียวหวานปลากรายมะเขือยาว + สับปะรด 6 ชิ้น (ให้พลังงาน 400 กิโลแคลอรี)

เนื้อปลากราย 4 ช้อนโต๊ะ / กะทิ 2 ช้อนโต๊ะ / มะเขือยาว, พริกแกงเขียวหวาน ตามต้องการ

อาหารว่างมื้อบ่าย : นมจืด 1 แก้ว + แครกเกอร์ 2 แผ่น (ให้พลังงาน 200 กิโลแคลอรี)


มื้อเย็น : ข้าวสวย 2 ทัพพี + ต้มจับฉ่ายหมู + ปลาทูทอด 1 ตัว + น้ำปลาพริกมะนาว +

กล้วยน้ำว้า 1 ผล (ให้พลังงาน 320 กิโลแคลอรี)

ผักกาดขาว, ผักคะน้า, ดอกกวางตุ้ง, หัวผักกาดสด ตามต้องการ และน้ำมันสำหรับทอด 1 ช้อนชา

อาหารว่างก่อนนอน : ส้มเขียวหวาน 1 ผล + นม 1 แก้ว (ให้พลังงาน 180 กิโลแคลอรี)


ตัวอย่างรายการอาหาร 1,800 กิโลแคลอรี

มื้อเช้า : ข้าวผัดหมู (ให้พลังงาน 412 กิโลแคลอรี)

ข้าวสุก 1 1/2 ทัพพี / เนื้อหมู 4 ช้อนโต๊ะ / ไข่ไก่ 1 ฟอง / น้ำมัน 1 ช้อนชา / กระเทียม, ต้นหอม, แตงกวา, มะเขือเทศ ตามต้องการ

อาหารว่างมื้อเช้า : น้ำส้มคั้น 1 แก้ว (ให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี)

มื้อกลางวัน : ผัดซีอิ๊วเส้นใหญ่คะน้าไก่ (ให้พลังงาน 452 กิโลแคลอรี)

เส้นใหญ่ 2 ทัพพี /เนื้อไก่ 4 ช้อนโต๊ะ / น้ำมัน 1 ช้อนชา / ไข่ไก่ 1 ฟอง / กระเทียม, ผักคะน้า ตามต้องการ

อาหารว่างมื้อบ่าย : นมจืด 1 แก้ว + กล้วยน้ำว้า 1 ผล (ให้พลังงาน 180 กิโลแคลอรี)

มื้อเย็น : ข้าวสวย 2 ทัพพี + แกงส้มผักรวมกุ้ง +ปลาสลิดขนาดกลางทอด 1 ตัว+สับปะรด 9 ชิ้น (ให้พลังงาน 430 กิโลแคลอรี)

กุ้งขนาดกลาง 4 ตัว / ผักกระเฉด, มะละกอดิบ, หัวผักกาดขาว, ถั่วฝักยาว, พริกแกงส้ม ตามต้องการ /น้ำมันสำหรับทอด 1 ช้อนชา

อาหารว่างก่อนนอน : นมจืด 1 แก้ว + แครกเกอร์ 2 แผ่น ( ให้พลังงาน 200 กิโลแคลอรี)

ตัวอย่างรายการอาหาร 2,000 กิโลแคลอรี

มื้อเช้า : ข้าวผัดหมู (ให้พลังงาน 485 กิโลแคลอรี)

ข้าวสวย 2 ทัพพี / เนื้อหมู 6 ช้อนโต๊ะ / ไข่ไก่ 1 ฟอง / น้ำมัน 1 ช้อนชา / กระเทียม, ต้นหอม, แตงกวา, มะเขือเทศ ตามต้องการ

อาหารว่างมื้อเช้า : สับปะรด 9 ชิ้น + นมจืด 1 แก้ว ( ให้พลังงาน 180 กิโลแคลอรี )

มื้อกลางวัน : ผัดซีอิ๊วเส้นใหญ่คะน้าไก่ ( ให้พลังงาน 525 กิโลแคลอรี)

เส้นใหญ่ 3 ทัพพี / เนื้อไก่ 6 ช้อนโต๊ะ / น้ำมัน 1 ช้อนชา / ไข่ไก่ 1 ฟอง / กระเทียม, ผักคะน้า ตามต้องการ

อาหารว่างมื้อบ่าย : นมจืด 1 แก้ว + กล้วยน้ำว้า 1 ผล ( ให้พลังงาน 180 กิโลแคลอรี)

มื้อเย็น : ข้าวสวย 2 ทัพพี + แกงส้มผักรวมปลาทูสด + ปลาสลิดทอด 1 ตัว + มะละกอ 8 ชิ้น (ให้พลังงาน 415 กิโลแคลอรี

เนื้อปลาทูสด 1 ตัว / ผักกระเฉด, มะละกอดิบ, หัวผักกาด / น้ำมัดสำหรับทอด 1 ช้อน

อาหารว่างก่อนนอน : นมจืด 1 แก้ว + แครกเกอร์ 2 แผ่น (ให้พลังงาน 200 กิโลแคลอรี)

ตัวอย่างอาหารแลกเปลี่ยน

ข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าวและแป้ง 1 ส่วนให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี

ข้าวสวย 1 ทัพพี / ข้าวเหนียวนึ่ง ½ ทัพพี / ข้าวต้ม 2 ทัพพี / ก๋วยเตี๋ยว 1 ทัพพี / ขนมจีน 3 จับเล็กหรือ 1 จับใหญ่ / ข้าวโพด 1 ฝัก / ขนมปัง 1 แผ่นใหญ่ / ขนมปังแครกเกอร์ 2 แผ่นเล็ก / มักกะโรนี 1 ทัพพี / วุ้นเส้นสุก 1 ทัพพี

อาหารนม 1 ส่วน (240 cc)

นมสดพร้อมดื่มให้พลังงาน 150 กิโลแคลอรี / นมสดพร่องมันเนย 120 กิโลแคลอรี / นมขาดมันเนย 90 กิโลแคลอรี

ผัก 1 ทัพพี (สุก) ให้พลังงาน 25 กิโลแคลอรี

ผลไม้ 1 ส่วนให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี

กล้วยไข่, กล้วยน้ำว้า 1 ลูกเล็ก / กล้วยหอม ½ ลูกเล็ก / องุ่น 24 ลูกเล็ก / แอปเปิ้ล ½ ลูก / พุทรา 3 ลูกกลาง / ชมพู่ 2 ลูก / ส้มโอ 2 กลีบ / ส้มเขียวหวาน 1 ½ ผล / ฝรั่ง 3 ชิ้นเล็ก /มะละกอ 8 ชิ้น (ขนาดคำ) / แตงโม 10 ชิ้น (ขนาดคำ) /

เนื้อสัตว์

เนื้อสัตว์ไขมันน้อย ให้พลังงาน 55 กิโลแคลอรี

เนื้อหมู, เนื้อวัว ไม่ติดมัน 2 ช้อนคาว / เนื้อเป็ด, เนื้อไก่ ไม่มีหนัง 2 ช้อนคาว /เนื้อปลา 2 ช้อนคาว / เนื้อกุ้ง 4 ตัว / ปลาทู ขนาดกลาง 1 ตัว / เนื้อหอย 5 ตัว / ลูกชิ้นไก่ หมู ปลา 5 - 6 ลูก

เนื้อสัตว์ไขมันปานกลาง ให้พลังงาน 75 กิโลแคลอรี

เนื้อหมู, เนื้อวัว, ไก่, เป็ด สุก 2 ช้อนคาว /ไข่เป็ด, ไข่ไก่ 1 ฟอง

เนื้อสัตว์ติดมัน ให้พลังงาน 100 กิโลแคลอรี

เนื้อหมูสามชั้น 2 ช้อนคาว / แฮม 1 แผ่น / ไส้กรอก 1 แท่ง / เนยแข็ง 1 แผ่น / เนื้อซี่โครงหมู 2 ช้อนคาว /

ไขมัน 1 ส่วน ให้พลังงาน 45 กิโลแคลอรี

น้ำมันพืช, น้ำมันสัตว์ 1 ช้อนชา / เบคอนกรอบ 1 ชิ้น / เนยสด หรือมาการีน 1 ช้อน

ชา / น้ำสลัดใส 1 ช้อนคาว / น้ำสลัดข้น 1 ช้อนชา / หัวกะทิ 1 ช้อนคาว

อาหารนม 1 ส่วน (240 cc)

นมสดพร้อมดื่มให้พลังงาน 150 กิโลแคลอรี / นมสดพร่องมันเนย 120 กิโลแคลอรี / นมขาดมันเนย 90 กิโลแคลอรี

น้ำตาล

น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา ให้พลังงาน 20 กิโลแคลอรี


จาก : คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

ผักผลไม้ 7 ชนิดที่มีผลต่อสุขภาพของผู้หญิงโดยตรง

โดย : First Magazine คนส่วนใหญ่ต่างรู้ประโยชน์ของผลไม้หรือผักว่ามีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย แต่เชื่อไหมว่า ผลไม้บางชนิด มีแร่วิตามินและแร่ธาตุที่พิเศษแตกต่างกันออกไป..มีพืชผักผลไม้อยู่ 7 ชนิด ที่มีผล ‘โดยตรง’ กับสุขภาพของ ‘ผู้หญิง’.
ลูกพรุน : เป็นแหล่งโปแตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด คงความเป็นหนุ่มเป็นสาว คนเรานั้นเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิตคือวัย 25 ปี ร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ ใบหน้าที่เคยเอิบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณจากสีชมพูระเรื่อก็เริ่มซีดโทรม ธาตุเหล็กที่มีมากในลูกพรุน จะช่วยดูแลเรื่องนี้ ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย

ถั่ว : อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก และวิตามินบี นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งมีในถั่วมาก) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว อิ่มนาน ความอยากอาหารจะลดลง แต่ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยุ่มากด้วยจึงไม่เหมือนไฟเบอร์อื่นๆ ที่ไม่ให้สารอาหารที่มีคุณค่ากับร่างกาย นั่นทำให้ผู้หญิงรุปร่างดีโดยที่ไม่ขาดสารอาหารด้วย

บรอคโคลี : เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวดูอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว แถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้

กล้วย : ในกล้วยไข่มีสารเบต้าแคโรทีน ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อเราอายุเลย 22 ปีไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมของร่างกายเริ่มมาเยือนช้าๆ ทำให้เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น นอกจากนั้นเมื่อร่างกายเสื่อมสภาพ ความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระก็ลดลงอย่างตกใจ ดังนั้นสาวๆ ควรสนใจรับประทานกล้วย โดยเฉพาะกล้วยไข่ให้มากขึ้นก็จะยอดมาก!

ฝรั่ง : เชื่อหรือไม่ว่าฝรั่ง 1 ขีด มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินซีนี้มีบทบาทในการสร้าง ‘คอลลาเจน’ ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ยืดหยุ่น ไม่หย่อนยานก่อนวัย

แอปเปิ้ล : มีสารอาหารที่สำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ ‘เพคติน’ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดคอเลสเตอรอล ยามใดก็ตามที่หินจนกินช้างหมดตัวได้ กินแอปเปิ้ลสักลูกจะดีกว่ามากๆ เลย (จริงๆ นะ)

ส้ม : แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติอันอุดม รู้ไหมว่า การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้อิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียว

จาก : First Magazine

อาหารชะลอแก่...

โดย : First Magazine ถ้ามีใครสักคนเดินปรี่เข้ามาทักเราว่า ดูสาวขึ้นหรือหนุ่มขึ้น คุณเอ๊ย! รับรองได้ว่าวันนั้นนั่งปลื้มไปทั้งวัน ...
การชะลอวัยนั้นไม่ได้เกินความสามารถที่คนเราจะควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นรอยเหี่ยวย่นหรือโรคที่มากับวัย เช่น โรคความจำเสื่อม โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคกระดูกพรุน ซึ่งคนเรามักจะคิดว่าเป็นผลพวงที่เกิดจากความแก่ แต่ความจริงที่ถูกมองข้ามก็คือ โรคเหล่านี้เป็นผลจากวิถีการดำเนินชีวิตที่ผิด มากกว่าจะมาจากความแก่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ฉะนั้น การหวนกลับมาจัดการกับวิถีชีวิต จึงเป็นหนทางชะลอความชราที่ดีที่สุด

จงใช้อาหารเป็นยา

อาหารที่เราเลือกบริโภคในชีวิตประจำวัน มีความสำคัญเท่าๆ กับการออกกำลังกาย ครีมกันแดดที่เราเลือกเพื่อป้องกันความเสื่อมของผิว และวิธีการป้องกันอื่นๆ ที่จะช่วยชะลอวัย ผัก ผลไม้ เป็นยาต้านความแก่ที่วิเศษที่สุด ผู้ที่รับประทานผักผลไม้มากๆ นอกจากจะแก่ช้าแล้ว ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็ง ได้น้อยกว่าผู้ที่กินแต่เนื้อสัตว์และไขมันมาก ซึ่งนักวิจัยยืนยันแล้วว่าเป็นเรื่องจริง

ในผักผลไม้มีอะไรดีอย่างนั้นหรือ

• ผักผลไม้ส่วนใหญ่ ยกเว้นมะพร้าว มะกอก และผลอะโวคาโด ไม่มีไขมัน ไม่มีคอเลสเตอรอล และมีโซเดียม (เกลือ) น้อย ยกเว้นของหมักดอง โซเดียมเป็นองค์ประกอบของเกลือ ถ้าบริโภคมากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูงและโรคมะเร็ง

• ผักผลไม้มีกากใยอาหารสูง ช่วยลดความเสี่ยงโรคที่มากับวัย เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ผักผลไม้ยังมีพลังงานต่ำ ทำให้อิ่มง่าย จึงลดปริมาณอาหารที่จะกินให้น้อยลง ร่างกายคนเราต้องการกากใยอาหารในการช่วยรักษาสุขภาพวันละ 25-30 กรัม ซึ่งทำได้ไม่ยาก ถ้าคุณเลือกบริโภคผักผลไม้วันละ 3-4 อย่าง อย่างละขนาดเท่าลูกเทนนิส และบริโภคผักสดขนาดเท่ากับ 4 ถ้วย (ข้าวต้ม) หรือผักสุก 4 ทัพพี หรือจะผสมกันอย่างละครึ่งก็ยิ่งดี

• ผักผลไม้มีสารอาหารมากมายที่ช่วยชะลอความแก่ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีนหรือแคโรทีนอยด์ อนุมูลอิสระเป็นสารที่เร่งความเสื่อมของวัย สารอาหารดังกล่าวจะช่วยลดฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ

• ผักผลไม้อุดมไปด้วยแคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม กรดโฟลิก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ แคลเซียมและแมกนีเซียมช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ธาตุเหล็กและกรดโฟลิกช่วยในการสร้างเม็ดเลือด ป้องกันโลหิตจาง นอกจากนี้ กรดโฟลิกยังช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและป้องกันโรคสมองเสื่อม

• ผักและผลไม้ให้พลังงานต่ำ โดยเฉพาะผัก ผักสลัดหนึ่งชามพูนให้พลังงานเพียง 30 กิโลแคลอรี่ แต่ต้องระวังน้ำสลัดซึ่งให้พลังงานสูง เพราะน้ำสลัดข้นแค่เพียง 1 ช้อนโต๊ะ ก็ให้พลังงานถึง 75-100 กิโลแคลอรี่เข้าไปแล้ว

• ผักผลไม้มีสารต้านมะเร็งเฉพาะตัวที่เรียกว่า สารพฤกษเคมี (Phytochemical) ผักผลไม้ต่างชนิดกันก็มีสารพฤกษเคมีแตกต่างกันไปหลายพันชนิด การบริโภคผักและผลไม้ให้หลากหลายจะช่วยให้ได้สารพฤกษเคมีที่เป็นประโยชน์ต่อ สุขภาพ

หลีกเลี่ยงอาหารเร่งแก่!

มีอาหารหลายอย่างที่เราๆ ท่านๆ โปรดปราน โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันทำให้แก่เร็วขึ้น อาหารดังกล่าวประกอบไปด้วย

1. อาหารไขมันสูง

โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว (ไขมันจากเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์ ช็อกโกแลต กะทิ) การบริโภคอาหารทอดกรอบ อาหารผัดที่มันมาก และน้ำมันพืชซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (polyunsaturated fatty acid) ในปริมาณมากๆ มีผลในการเพิ่มอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย

2. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

แอลกอฮอร์สามารถเปลี่ยนเป็นไขมันได้ และยังลดการดูดซึมของเกลือแร่และวิตามินในร่างกาย โดยเฉพาะแคลเซียม วิตามินบี และวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้แอลกอฮอร์ยังก่อให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เร่งความแก่ให้มาเยือนก่อนเวลาอันควร

3. เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน

ได้แก่ ชา กาแฟ ซึ่งจะลดการดูดซึมวิตามินบีและแคลเซียมในร่างกาย

4. อาหารหมักดองและอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษ

เช่น สารตะกั่วและเชื้อแบคทีเรียในอาหารที่ขายตามริมถนนและไม่มีภาชนะปิด เป็นบ่อเกิดของอนุมูลอิสระ บั่นทอนสุขภาพและก่อให้เกิดโรคมะเร็ง อาหารปิ้งย่างที่มีเขม่าไฟติดหรือเกรียมไหม้ มีสารก่อให้เกิดมะเร็งที่มีชื่อว่า เบนโซไพรีน (benzopyrene)

5. อาหารทอดด้วยน้ำมันซ้ำซาก

เช่น ปาท่องโก๋ ปลาทอด ทอดมัน ไก่ทอด เป็นต้น น้ำมันที่ทอดอาหารซ้ำแล้วซ้ำอีกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ทำให้เกิดอนุมูลอิสระและสารก่อมะเร็ง

สรุปวิธีการกินให้อ่อนวัยนั้นไม่ยาก ถ้าปฏิบัติดังนี้

• จำกัดอาหารประเภทไขมันและน้ำตาล

• บริโภคข้าวซ้อมมือเป็นประจำ

• เลือกผลิตภัณฑ์ข้าวที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยสุด

• บริโภคผัก ผลไม้ ธัญพืช เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา และดื่มนมขาดไขมันหรือนมพร่องไขมันเป็นประจำ

• ระวังปริมาณในการบริโภค อย่าเพลินกับความอร่อยจนลืมตัว

• เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารหมักดอง และเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน

• เสริมวิตามินรวมวันละ 1 เม็ด และวิตามินอีวันละ 100-400 ไอยู

นอกจากเรื่องการกินแล้ว สิ่งสำคัญควบคู่กันไปก็คือ ไม่ลืมที่จะออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส ลดละความเครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ คุณก็จะดูอ่อนกว่าวัยได้แล้ว
จาก : First Magazine

อาหารลดอ้วนและอิ่มนาน

โดย : ไทยรัฐออนไลน์
หลังพบว่า โปรตีนจากเนื้อจะช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อต่างๆ ขณะที่ ไข่ขาวและไข่แดง กินได้ไม่เป็นภัยกับหัวใจ และ แอปเปิ้บยังช่วยให้อิ่มนาน เพราะมีกากใยถึง 4-5 กรัมต่อลูก…
จากการศึกษาพบว่า อาหารและผลไม้บางอย่าง ซึ่งนอกจากไม่ทำให้อ้วนแล้ว ยังช่วยให้น้ำหนักลดลงด้วย

มันอาจจะก่อความผิดคาดขึ้นบ้าง เมื่อยอดอาหารนำขบวนโดยสเต๊กเนื้อ ซึ่งวารสารวิชาการ “โภชนาการบำบัดอเมริกัน” เปิดเผยว่า มันทำให้น้ำหนักลดได้มากกว่า การบริโภคอย่างอื่น แต่จำกัดเนื้อสัตว์ ทั้งนี้ เนื่องจากโปรตีนในสเต๊กจะช่วยรักษามวลของกล้ามเนื้อต่างๆ ระหว่างที่น้ำหนักลดเอาไว้ให้

ไข่ เป็นยอดอาหารอีกอย่างหนึ่ง ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยรัฐหลุยเซียนา ของสหรัฐฯ แนะนำให้สวาปามทั้งไข่ขาวและไข่แดง ไข่ไม่เป็นภัยกับหัวใจ และยังช่วยลดพุงด้วย เคยมีผู้พยายามลดน้ำหนักกินไข่กับขนมปัง และเยลลี่ เป็นอาหารเช้า ลดน้ำหนักได้ มากกว่าผู้ที่กินขนมปังกับอย่างอื่น ที่ให้ปริมาณแคลอรีมากเท่าๆกัน แต่งดไข่ถึง 2 เท่า

ผลแอปเปิ้ล มหาวิทยาลัยเพนน์ สเตท ศึกษาพบว่า ผู้ที่กัดแอปเปิ้ลกินเคี้ยวกร้วมๆ รองท้องก่อนที่จะกินพาสต้า จะกินอาหารได้น้อยกว่าเพื่อนที่กินอย่างอื่นไปก่อน แอปเปิ้ลแต่ละลูกจะให้กากใยมากระหว่าง 4-5 กรัม จึงทำให้อิ่มทน ทั้งยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคอันเกิดจากระบบเผาผลาญอาหารของร่างกายด้วย ซึ่งทำให้พุงออกได้ง่าย

นอกจากนั้น ยังได้แก่ พริก โยเกิร์ต ถั่วแขกชนิดเม็ดแดงและเหลือง ผลอโวคาโด เนยแข็งอิตาลี และน้ำมันมะกอก...

จาก : ไทยรัฐออนไลน์

5 เมนูเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

โดย : ศรัญญา โรจน์พิทักษ์ชีพ ทุกวันนี้คุณยังชอบดื่มน้ำอัดลมกันอยู่หรือเปล่า ถ้าตอบว่าใช่ คุณคงต้องเปลี่ยนความคิดกันได้แล้วล่ะค่ะ เพราะเราจะพาคุณไปพบกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ทำได้ง่ายๆ และก็มีรสชาติอร่อย ป้องกันและการบรรเทาอาการต่างๆ และไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณอย่างแน่นอนค่ะ...
เมนูเพื่อสุขภาพที่คุณหาซื้อรับประทาน และสามารถทำได้เอง ซึ่งมีทั้งประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย และยังช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ดีต่อสุขภาพค่ะ..

1.น้ำลูกเดือยทรงเครื่อง
สรรพคุณ : ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยเจริญอาหารบำรุงกระดูก บำรุงสายตา
วิธีทำ : นำลูกเดือยและข้าวมันปูกล้องต้มจนเปื่อย แล้วปั่นรวมกัน จากนั้นก็กรองแยกกากออก โรยเกลือเล็กน้อย ก่อนเสิร์ฟนำไปแช่ตู้เย็นให้เย็น หรือดื่มตอนอุ่นๆ ก็ได้

2.น้ำงาดำ
สรรพคุณ :ช่วยรักษาระดับคอเรสเตอรอล ป้องกันไม่ให้เกิดหลอดเลือดอุดตัน หรือหลอดเลือดแข็งตัว บำรุงประสาท แก้เหน็บชา ลดอาการนอนไม่หลับ ป้องกันอาการท้องผูกและเบื่ออาหาร
วิธีทำ :นำงาดำป่น งาขาวป่น ถั่วเหลืองป่นผสมน้ำต้มจนเดือด และใส่น้ำตาลทรายแดงสักหน่อย โรยเกลืออีกสักนิด ก็จะได้น้ำงาดำอร่อยๆ อุ่นๆ พร้อมดื่มได้ทุกวัน

3.โอวัลตินปั่นวุ้นธัญพืช
สรรพคุณ :ในโอวัลตินไฟว์เกรนส์จะมีส่วนผสมของธัญพืชทั้ง 5 ชนิดที่เข้าไปช่วยรักษาสมดุลในร่างกายให้แข็งแรงและสดใส ส่วนลูกเดือยต้มสุกก็มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยแก้ร้อนใน ถั่วเหลืองก็ช่วยลดคอเรสตอรอลและป้องกันโรคหัวใจได้
วิธีทำ :นำโอวัลตินแบบผงหรือโอวัลตินไฟว์เกรนส์มาชงใส่นมข้นหวานแล้วปั่น จากนั้นก็นำวุ้นธัญพืช (ผงวุ้นสำเร็จรูปต้มกับน้ำ แล้วเติมธัญพืช) มาตัดเป็นชิ้นแล้วใส่ลงไปในแก้ว

4.สมูธตี้โยเกิร์ตจมูกข้าวสาลี
สรรพคุณ :โยเกิร์ตและผลไม้ที่ใช้เป็นแหล่งรวมวิตามินทั้งบีและซี ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ช่วยรักษาสุขภาพลำไส้ใหญ่ จมูกข้าวสาลีมีใยอาหารป้องกันท้องผูก และมีวิตามินอี ซึ่งสามารถป้องกันโรคต้อกระจก
วิธีทำ :จมูกข้าวสาลีผง โยเกิร์ตรสธรรมชาติหรือรสผลไม้รวม น้ำส้มคั้น กล้วยหอม น้ำผึ้งแทนหรือน้ำตาลทรายแดง และน้ำแข็ง นำมาปั่นรวมกัน

5.น้ำเต้าหู้ผสมเต้าฮวยธัญพืช
สรรพคุณ :ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันมะเร็งทางเดินอาหาร และในถั่วเหลืองจะมีเลซิทิน ซึ่งเป็นสารบำรุงสมอง เพิ่มความจำ ลดไขมัน และลดคอเรสเตอรอลในร่างกาย
วิธีทำ : นำถั่วเหลืองบดด้วยเครื่องพร้อมกับน้ำเปล่า กรองกากออก นำน้ำนมที่ได้ตั้งไฟอ่อนๆ เติมเกลือเล็กน้อย คนเรื่อยๆ แล้วเติมน้ำตาลตามใจชอบ จากนั้นก็เทใส่เต้าฮวยธัญพืช (ผงเต้าฮวยสำเร็จรูปทำตามขั้นตอนแล้วเติมธัญพืชที่ชอบก่อนที่จะจับตัวเป็นวุ้น) ที่ตัดเป็นแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ลงไปในแก้วน้ำเต้าหู้ ได้ทั้งน้ำได้ทั้งเนื้อ อิ่ม!

ตลอดการทำงาน 5 วัน มารักษาสมดุลให้กับร่างกาย ด้วยเครื่องดื่มที่ผสมธัญพืช 5 ชนิด ที่หาดื่มได้ง่ายๆ ไม่เสียเวลา และทำเองได้ง่ายๆ สามารถดื่มตอนเย็น ก่อนนอน ดื่มตอนเช้าหรือดื่มเป็นของว่างระหว่างวันการทำงาน ก็ทำให้ร่างกายของคุณได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 ธาตุของร่างกาย ส่งผลให้ตลอดอาทิตย์นั้นคุณรู้สึกสดชื่นและมีสุขภาพแข็งแรงในระยะยาวค่ะ
จาก : ศรัญญา โรจน์พิทักษ์ชีพ

อาหารที่ดีต่อสุขภาพ

โดย : นิตยสาร Lisa
อาหารหลัก 5 หมู่ หากกินครบถ้วนจะดีต่อสุขภาพและร่างกาย ถือเป็นยารักษาโรคขนานเอก แต่ก็ยังมีอาหาร จำพวกผัก ผลไม้ ที่ควรใส่ใจเป็นอย่างมาก เพราะมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน...
* ถั่วเหลือง เมนูนี้อาจฟังดูไม่ค่อยน่าอร่อยนัก แต่คุณก็ไม่อาจปฎิเสธได้ถึงประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายของมัน ถั่วเหลืองอุดมด้วย ไอโวฟลาโวนส์ ที่ช่วยปกป้องต่อมลูกหมากของผู้ชาย หากมี ไอโวฟลาโวนส์ในเลือดระดับที่เหมาะสม จะลดโอกาสเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากลงได้อย่างมาก การบริโภคโปรตีนจากถั่วยังเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากในการช่วยลดไขมันไม่ดีในร่างกายอีกด้วย

* ผักสีส้มและสีแดง การกินผักสีส้มและสีแดง (เช่น แครอท ฟักทอง มันเทศ มะเขือเทศ ฯลฯ) ในปริมาณที่มากพอ ก็มีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย ทำให้เซลล์ผิวหนังสุขภาพดี และอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี โพแทสเซียม และเบต้าแคโรทีน ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการต่อมลูกหมากโตด้วย แน่นอนการเน้นกินผักสีส้มและสีแดงไม่ได้หมายความว่าควรละเลยผักสีเขียวทั้งหลาย เพือ่ให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนจริงๆ ควรทานผักผลไม้เป็นประจำทุกวัน

* เชอร์รี่และเบอร์รี่ หากอยากอร่อย ลองเลือกผลไม้รสอร่อยที่ดีต่อสุขภาพอย่างผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และเชอร์รี่ เพราะมีแอนตี้ออกซิแดนต์และฟลาโวนอยด์ในระดับสูง ซึ่งช่วยการทำงานของสมองให้เฉียบคม

* ไขมันปลา กรดไขมันโอเมก้า 3 สำคัญอย่างมากในการทำให้ร่างกายคุณทำงานอย่างสมบูรณ์แบบ ปลาที่อุดมด้วยไขมัน เช่น แซลมอน ทูน่า แม็กเคเรล และซาร์ดีน มีคุณสมบัติสูงในการต่อต้านอาการอักเสบ ช่วยในการลดอาการเจ็บปวดต่างๆ ของร่างกาย (รวมทั้งข้อต่อ) ผ่อนคลายโรคไขข้ออักเสบ และลดระดับไขมันในเลือด ปลาที่มีไขมันสูงยังมีวิตามินดี ที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่าช่วยป้องกันมะเร็ง เบาหวานประเภทสองโรคกระดูก และความดันโลหิตสูง โดยควรกินปลาที่มีไขมันสูงอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง

จาก : นิตยสาร Lisa

บทความที่ได้รับความนิยม